จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี หน้านี้ถูกกึ่งล็อก "ไทย" เปลี่ยนทางมาที่นี่ สำหรับความหมายอื่น ดูที่ ไทย (แก้ความกำกวม) ราชอาณาจักรไทย ธงชาติ ตราแผ่นดิน เพลงชาติ: เพลงชาติไทย เพลงชาติไทย (บรรเลง) 0:00 เพลงสรรเสริญพระบารมี: สรรเสริญพระบารมี สรรเสริญพระบารมี (บรรเลง) 0:00 ที่ตั้งของ ประเทศไทย (สีเขียว)ในอาเซียน (สีเทาเข้ม) — [คำอธิบายสัญลักษณ์] ที่ตั้งของ ประเทศไทย (สีเขียว) ในอาเซียน (สีเทาเข้ม) — [คำอธิบายสัญลักษณ์] เมืองหลวง (และเมืองใหญ่สุด) กรุงเทพมหานคร 13°44′N 100°30′E ประเทศไทย ซึ่งตั้งอยู่ใน Thailand กรุงเทพมหานครกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่เชียงใหม่ เชียงรายเชียงราย นครราชสีมานครราชสีมา ขอนแก่นขอนแก่น บุรีรัมย์บุรีรัมย์ สุรินทร์สุรินทร์ ชลบุรีชลบุรี พิษณุโลกพิษณุโลก นครสวรรค์นครสวรรค์ เพชรบูรณ์เพชรบูรณ์ หนองคายหนองคาย อุดรธานีอุดรธานี อุบลราชธานีอุบลราชธานี อำนาจเจริญอำนาจเจริญ สุราษฎร์ธานีสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราชนครศรีธรรมราช ภูเก็ตภูเก็ต ประจวบคีรีขันธ์ประจวบคีรีขันธ์ แม่ฮ่องสอนแม่ฮ่องสอน แพร่แพร่ สุโขทัยสุโขทัย ตากตาก กาญจนบุรีกาญจนบุรี ชุมพรชุมพร ระนองระนอง เกาะสมุยเกาะสมุย หาดใหญ่หาดใหญ่ พัทยาพัทยา กัมพูชา ลาว เวียดนาม พม่า มาเลเซีย อ่าวไทย ทะเลอันดามัน ภาษาราชการ ภาษาไทย เดมะนิม ชาวไทย การปกครอง ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (นิตินัย) ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ, เผด็จการทหาร (พฤตินัย) - พระมหากษัตริย์ ว่าง - ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ - นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นิติบัญญัติ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สถาปนา - กรุงสุโขทัย พ.ศ. 1792–1981 - กรุงศรีอยุธยา 3 เมษายน พ.ศ. 1893 – 7 เมษายน พ.ศ. 2310 - กรุงธนบุรี 28 ธันวาคม พ.ศ. 2310 – 6 เมษายน พ.ศ. 2325 - กรุงรัตนโกสินทร์ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 - ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 - รัฐธรรมนูญปัจจุบัน 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 พื้นที่ - รวม 513,115 ตร.กม. (51) 198,115 ตร.ไมล์ - แหล่งน้ำ (%) 0.4 (2,230 km2) ประชากร - 2558 (ประเมิน) 65,729,098[1] (20) - 2553 (สำมะโน) 65,981,659[2] - ความหนาแน่น 132.1 คน/ตร.กม. (88) 342 คน/ตร.ไมล์ จีดีพี (อำนาจซื้อ) 2016 (ประมาณ) - รวม US$1.152 ล้านล้าน[3] - ต่อหัว US$16,706[3] จีดีพี (ราคาตลาด) 2016 (ประมาณ) - รวม US$409,724 ล้าน[3] - ต่อหัว US$5,938[3] จีนี (2552) 42.5 [4] HDI (2558) Decrease 0.726[5] (สูง) (93) สกุลเงิน บาท (฿) (THB) เขตเวลา (UTC+7) ระบบจราจร ซ้ายมือ โดเมนบนสุด .th รหัสโทรศัพท์ +66 ประเทศไทย มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ราชอาณาจักรไทย เป็นรัฐชาติอันตั้งอยู่บนคาบสมุทรอินโดจีนและมลายู ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนด้านตะวันออกติดประเทศลาวและประเทศกัมพูชา ทิศใต้เป็นแดนต่อแดนประเทศมาเลเซียและอ่าวไทย ทิศตะวันตกติดทะเลอันดามันและประเทศพม่า และทิศเหนือติดประเทศพม่าและลาว มีแม่น้ำโขงกั้นเป็นบางช่วง มีศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดินอยู่ที่กรุงเทพมหานคร และการปกครองส่วนภูมิภาค จัดระเบียบเป็น 76 จังหวัด[ก] แม้จะมีการสถาปนาระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยระบบรัฐสภาใน พ.ศ. 2475 แต่กองทัพยังมีบทบาทในการเมืองไทย ล่าสุด เกิดรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 และประเทศไทยปกครองแบบเผด็จการทหาร ประเทศไทยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 51 ของโลก มีเนื้อที่ 513,115 ตารางกิโลเมตร[6] และมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 20 ของโลก คือ ประมาณ 66 ล้านคน[7] กับทั้งยังเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่[8][9][10][11] โดยมีรายได้หลักจากภาคอุตสาหกรรมและการบริการ[12] ไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเป็นอันมาก อาทิ พัทยา, ภูเก็ต, กรุงเทพมหานคร และเชียงใหม่ ซึ่งสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ เช่นเดียวกับการส่งออกอันมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ[13] และด้วยจีดีพีของประเทศ ซึ่งมีมูลค่าราว 334,026 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามที่ประมาณใน พ.ศ. 2553 เศรษฐกิจของประเทศไทยนับว่าใหญ่เป็นอันดับที่ 32 ของโลก ในอาณาเขตประเทศไทย พบหลักฐานของมนุษย์ซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุดถึงห้าแสนปี[14] นักประวัติศาสตร์มักถือว่าอาณาจักรสุโขทัยเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งต่อมาตกอยู่ในอิทธิพลของอาณาจักรอยุธยา อันมีความยิ่งใหญ่กว่า และมีการติดต่อกับชาติตะวันตก อาณาจักรอยุธยามีอายุยืนยาว 417 ปีก็เสื่อมอำนาจและล่มสลายไปโดยสิ้นเชิง สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงกอบกู้เอกราชและสถาปนาอาณาจักรธนบุรี เหตุการณ์ความวุ่นวายในช่วงปลายอาณาจักร นำไปสู่ยุคสมัยของราชวงศ์จักรีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในช่วงต้นกรุงประเทศเผชิญภัยคุกคามจากชาติใกล้เคียง แต่หลังรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา ชาติตะวันตกเริ่มมีอิทธิพลในภูมิภาคเป็นอย่างมาก นำไปสู่การเข้าเป็นภาคีแห่งสนธิสัญญาหลายฉบับ และการเสียดินแดนบางส่วน กระนั้น ไทยก็ยังธำรงตนมิได้เป็นอาณานิคมของชาติใด ๆ ต่อมาจนช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ไทยได้เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร ในปี พ.ศ. 2475 ประเทศไทยได้มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญตามบริบทของการเปลี่ยนแปลงทั่วโลก และไทยได้เข้ากับฝ่ายอักษะในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง จนช่วงสงครามเย็น ไทยได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกาและเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนรัฐบาลทหารในยุคนั้นเป็นอย่างมาก และแม้ประเทศไทยจะเริ่มเปลี่ยนมาสู่ยุครัฐบาลของพลเรือน แต่ความเสถียรภาพของระบบการเมืองการปกครองไทยยังคงขาดความต่อเนื่องอันมีปัญหามาจากการแทรกแซงโดยกองทัพจวบจนปัจจุบัน เนื้อหา 1 ชื่อเรียก 2 ภูมิประเทศ ภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม 3 ประวัติศาสตร์ 3.1 ยุคก่อนประวัติศาสตร์ 3.2 อาณาจักรสุโขทัย 3.3 อาณาจักรอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตอนต้น 3.4 การเผชิญลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตก 3.5 ปฏิวัติ สงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามเย็น 3.6 ร่วมสมัย 4 การเมืองการปกครอง 4.1 การแบ่งเขตการปกครอง 4.2 ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการทหาร 5 เศรษฐกิจ 5.1 พลังงาน 5.2 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 5.3 การขนส่ง 5.4 การสื่อสาร 5.5 การท่องเที่ยว 6 ประชากรศาสตร์ 6.1 ประชากร 6.2 เมืองใหญ่ 6.3 ศาสนา 6.4 ภาษา 7 การศึกษา 8 สาธารณสุข 9 วัฒนธรรม 9.1 ศิลปะ 9.2 อาหาร 9.3 ภาพยนตร์ 9.4 ดนตรี 9.5 นาฏศิลป์ 9.6 เทศกาลประเพณี 9.7 วันสำคัญ 9.8 กีฬา 10 เชิงอรรถ 11 อ้างอิง 12 บรรณานุกรม 13 แหล่งข้อมูลอื่น ชื่อเรียก ดูเพิ่มเติมที่: สยาม ชาวต่างชาติเรียกอาณาจักรอยุธยาว่า "สยาม" เมื่อราว พ.ศ. 2000[15] เดิมประเทศไทยเองก็เคยใช้ชื่อว่า สยาม มาแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยปรากฏใช้เป็นชื่อประเทศชัดเจนใน พ.ศ. 2399[16] ทว่าคนไทยไม่เคยเรียกตนเองว่า "สยาม" หรือ "ชาวสยาม" อย่างชาวต่างชาติหรือชื่อประเทศอย่างเป็นทางการในสมัยนั้นเลย[17] ส่วนคำว่า "คนไทย" นั้น จดหมายเหตุลาลูแบร์ได้บันทึกไว้ชัดเจนว่า ชาวอยุธยาเรียกตนเองเช่นนั้นมานานแล้ว[18] ต่อมา เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรัฐนิยม ฉบับที่ 1 เปลี่ยนชื่อประเทศ พร้อมกับเรียกประชาชน และสัญชาติจาก "สยาม" มาเป็น "ไทย"[19] ซึ่งจอมพล ป. ต้องการบอกว่าดินแดนนี้เป็นของชาวไทย มิใช่ของเชื้อชาติอื่น ตามลัทธิชาตินิยมในเวลานั้น[20] โดยในช่วงต่อมาได้เปลี่ยนกลับเป็นสยามเมื่อปี พ.ศ. 2488[19] แต่ก็ได้เปลี่ยนกลับมาชื่อไทยอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2491 ซึ่งเป็นช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี การเปลี่ยนชื่อในครั้งนี้ยังเปลี่ยนจาก "Siam" ในภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส เป็น "Thaïlande" ในภาษาฝรั่งเศส และ "Thailand" ในภาษาอังกฤษอย่างในปัจจุบัน[17] อย่างไรก็ตาม ชื่อ สยาม ยังคงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ ชื่อประเทศไทยในภาษาอังกฤษมักถูกจำสับสนกับไต้หวันอยู่บ่อย ๆ [21] ภูมิประเทศ ภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ดูบทความหลักที่: ภูมิศาสตร์ไทย และ ภูมิอากาศไทย ภาพถ่ายประเทศไทยจากดาวเทียม ประเทศไทยตั้งอยู่กลางคาบสมุทรอินโดจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังอยู่บนคาบสมุทรมลายูด้วย อยู่ระหว่างละติจูด 5° ถึง 21° เหนือ และลองติจูด 97° ถึง 106° ตะวันออก ประเทศไทยมีพื้นที่ 513,115 ตารางกิโลเมตร เป็นอันดับที่ 51 ของโลกและอันดับที่ 3 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากประเทศอินโดนีเซียและพม่า ประเทศไทยมีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลาย ภาคเหนือเป็นพื้นที่ภูเขาสูงสลับซับซ้อน จุดสูงที่สุดในประเทศไทย คือ ดอยอินทนนท์ ณ 2,565 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล[22] รวมทั้งยังปกคลุมด้วยป่าไม้อันเป็นต้นน้ำที่สำคัญของประเทศ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ของที่ราบสูงโคราช สภาพของดินค่อนข้างแห้งแล้งและไม่ค่อยเอื้อต่อการเพาะปลูก ภาคกลางเป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึง มีแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำใหญ่ที่สุดในประเทศซึ่งเกิดจากแม่น้ำปิงและแม่น้ำน่านที่ไหลมาบรรจบกันที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ ทำให้ภาคกลางเป็นภาคที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด และถือได้ว่าเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก[23] ภาคใต้เป็นส่วนหนึ่งของคาบสมุทรไทย-มลายู[24] ขนาบด้วยทะเลทั้งสองด้าน มีจุดที่แคบลง ณ คอคอดกระ แล้วขยายใหญ่เป็นคาบสมุทรมลายู ทะเลสาบสงขลาเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ส่วนภาคตะวันตกเป็นหุบเขาและแนวเทือกเขาซึ่งพาดตัวมาจากทางตะวันตกของภาคเหนือ แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำโขงถือเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญของประเทศไทย การผลิตของภาคอุตสาหกรรมการเกษตรต้องอาศัยผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้จากแม่น้ำทั้งสองและสาขา อ่าวไทยมีพื้นที่ประมาณ 320,000 ตารางกิโลเมตร รองรับน้ำซึ่งไหลมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำบางปะกง และแม่น้ำตาปี ถือเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว เนื่องจากน้ำตื้นใสตามแนวชายฝั่งของภาคใต้และคอคอดกระ นอกจากนี้ อ่าวไทยยังเป็นศูนย์กลางทางอุตสาหกรรมของประเทศ เพราะมีท่าเรือหลักที่สัตหีบ ถือได้ว่าเป็นประตูที่จะนำไปสู่ท่าเรืออื่น ๆ ในกรุงเทพมหานคร ภาคใต้มีสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวมาก ตั้งแต่จังหวัดภูเก็ต จังหวัดกระบี่ จังหวัดระนอง จังหวัดพังงา จังหวัดตรัง และหมู่เกาะตามแนวชายฝั่งของทะเลอันดามัน ภูมิอากาศของไทยเป็นแบบเขตร้อน หรือแบบสะวันนา มีอุณหภูมิเฉลี่ย 18-34 °C และมีปริมาณฝนตกเฉลี่ยตลอดปีกว่า 1,500 มิลลิเมตร สามารถแบ่งได้เป็น 3 ฤดูกาล คือ ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายนเป็นฤดูร้อน ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคมเป็นฤดูฝน ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จากทะเลจีนใต้และพายุหมุนเขตร้อน ส่วนในเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนมีนาคมเป็นฤดูหนาว ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจากประเทศจีน[25] ส่วนภาคใต้มีสภาพอากาศแบบป่าดงดิบ ซึ่งมีอากาศร้อนชื้นตลอดทั้งปี แบ่งได้เป็น 2 ฤดู คือ ฤดูฝนและฤดูร้อน โดยฝั่งทะเลตะวันออก ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน และฝั่งทะเลตะวันตก ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน[25] ประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพของทั้งพืชและสัตว์อยู่มาก อันเป็นรากฐานอันมั่นคงของการผลิตในภาคเกษตรกรรม และประเทศไทยมีผลไม้เมืองร้อนหลากชนิด[23] พื้นที่ราว 29% ของประเทศเป็นป่าไม้ รวมไปถึงพื้นที่ปลูกยางพาราและกิจกรรมปลูกป่าบางแห่ง[26] ประเทศไทยมีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ากว่า 50 แห่ง เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอีก 56 แห่ง โดยพื้นที่ 12% ของประเทศเป็นอุทยานแห่งชาติ (ปัจจุบันมี 110 แห่ง[27]) และอีกเกือบ 20% เป็นเขตป่าสงวน[26] ประเทศไทยมีพืช 15,000 สปีชีส์ คิดเป็น 8% ของสปีชีส์พืชทั้งหมดบนโลก[28] ในประเทศไทย พบนก 982 ชนิด นอกจากนี้ ยังเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม และสัตว์เลื้อยคลานกว่า 1,715 สปีชีส์ซึ่งมีการบันทึก[29] ประวัติศาสตร์ ดูบทความหลักที่: ประวัติศาสตร์ไทย ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เครื่องปั้นดินเผาซึ่งถูกพบใกล้กับบ้านเชียง สันนิษฐานว่ามีอายุกว่า 2,000 ปี ในอดีต พื้นที่ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศไทยนั้นมีมนุษย์เข้ามาอยู่อาศัยตั้งแต่ยุคหินเก่า คือ ราว 20,000 ปีที่แล้ว ภูมิภาคดังกล่าวได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมและทางศาสนาจากอินเดีย นับตั้งแต่อาณาจักรฟูนัน เมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 1[30] แต่สำหรับรัฐของคนไทยแล้ว ตามตำนานโยนกได้บันทึกว่า การก่อตั้งอาณาจักรของคนไทยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 1400[31] อาณาจักรสุโขทัย ดูบทความหลักที่: อาณาจักรสุโขทัย ภายหลังการล่มสลายของจักรวรรดิขะแมร์ เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13[32] ทำให้เกิดรัฐใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมากในเวลาไล่เลี่ยกัน อาทิ ชาวไท มอญ เขมรและมาเลย์ นักประวัติศาสตร์ไทยเริ่มถือเอาสมัยอาณาจักรสุโขทัย นับตั้งแต่ พ.ศ. 1781 เป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ชาติไทย ซึ่งตรงกับสมัยรุ่งเรืองของอาณาจักรล้านนาและอาณาจักรล้านช้าง อาณาจักรสุโขทัยมีการปกครองแบบ ปิตุราชา หรือ พ่อปกครองลูก ที่ผู้ปกครองใกล้ชิดกับผู้ใต้ปกครอง อาณาจักรสุโขทัยแผ่ขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวางในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ผู้ประดิษฐ์อักษรไทย แต่เสถียรภาพของอาณาจักรได้อ่อนแอลงภายหลังการสวรรคตของพระองค์ รัชสมัยพญาลิไทมีการเปลี่ยนรูปแบบการปกครองมาเป็นธรรมราชา จากการรับอิทธิพลของศาสนาพุทธนิกายเถรวาท แบบลังกาวงศ์ อาณาจักรสุโขทัยเสื่อมลงและตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรอยุธยา อาณาจักรอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตอนต้น ดูบทความหลักที่: อาณาจักรอยุธยา, อาณาจักรธนบุรี และ อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราช) พระเจ้าอู่ทองทรงก่อตั้งอาณาจักรอยุธยาเป็นอาณาจักรของคนไทยขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1893 มีการปกครองแบบเทวราชา ซึ่งยึดตามหลักของศาสนาพราหมณ์ การเข้าแทรกแซงสุโขทัยอย่างต่อเนื่องทำให้อาณาจักรสุโขทัยตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรอยุธยา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงปฏิรูปการปกครองใหม่ ซึ่งบางส่วนได้ใช้มาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงตราพระราชกำหนดศักดินา ทำให้อาณาจักรอยุธยากลายเป็นสังคมศักดินา การยึดครองมะละกาของโปรตุเกสในปี พ.ศ. 2054 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทำให้อยุธยาเริ่มติดต่อกับชาติตะวันตก[33] ขณะเดียวกัน ราชวงศ์ตองอูของพม่าเริ่มมีอำนาจมากขึ้น กระทั่งขยายดินแดนมายังกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้และพระเจ้าบุเรงนอง การสงครามยืดเยื้อนับสิบปีส่งผลให้กรุงศรีอยุธยาตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรตองอูใน พ.ศ. 2112[34] สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงใช้เวลา 15 ปีสร้างภาวะครอบงำในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอีกครั้งหนึ่ง[35] โกษาปานนำพระราชสาส์นของสมเด็จพระนารายณ์ถวายแด่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จากนั้น กรุงศรีอยุธยาได้รุ่งเรืองถึงขีดสุด[36] ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอยุธยารุ่งเรืองขึ้นอย่างมากในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับฝรั่งเศส ฮอลันดา และอังกฤษ อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของชาวต่างชาติในกรุงศรีอยุธยาที่เพิ่มขึ้น เป็นเหตุให้พระเพทราชาประหารชีวิตคอนสแตนติน ฟอลคอน[37] ความขัดแย้งภายในทำให้การติดต่อกับชาติตะวันตกซบเซาลง[38] อาณาจักรอยุธยาเริ่มเสื่อมอำนาจลงราวพุทธศตวรรษที่ 24 การสงครามกับราชวงศ์คองบอง (อลองพญา) จนส่งผลให้เสียกรุงครั้งที่สอง เมื่อ พ.ศ. 2310 ในที่สุด ทว่า ในปีเดียวกัน พระยาตากได้รวบรวมไพร่พลกอบกู้เอกราช และย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงธนบุรี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของคนไทยอยู่ 15 ปี ถือเป็นช่วงเวลาของการทำสงครามและการฟื้นฟูความเจริญของชาติ จากนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ได้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ช่วงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยเผชิญกับการรุกรานจากชาติเพื่อนบ้านหลายครั้งจนถึงรัชกาลที่ 4 พระราชนโยบายของพระมหากษัตริย์ในช่วงนี้ คือ การป้องกันตนเองจากมหาอำนาจอาณานิคม แต่ก็ส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ เทคโนโลยีตะวันตก และการศึกษาอันทันสมัย[39] การเผชิญลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตก การยกดินแดนให้ฝรั่งเศสและอังกฤษ ระหว่าง พ.ศ. 2393-2451 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เซอร์จอห์น เบาริ่ง ราชทูตอังกฤษ ได้เข้ามาทำสนธิสัญญาเบาว์ริง อันนำมาสู่การทำสนธิสัญญากับชาติอื่น ๆ ด้วยเงื่อนไขที่คล้ายกัน[40] หากก็นำมาซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจในกรุงเทพมหานครและการค้าระหว่างประเทศ[41] ต่อมา การคุกคามของจักรวรรดินิยมทำให้สยามยอมยกดินแดนให้ฝรั่งเศสและอังกฤษในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และดำรงบทบาทของตนเป็นรัฐกันชนระหว่างเจ้าอาณานิคมทั้งสอง[42] หากแม้จะถูกกดดันอย่างหนักจากชาติมหาอำนาจ สยามก็ยังสามารถธำรงตนเป็นรัฐเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก แต่ก็ต้องรับอิทธิพลจากประเทศตะวันตกเข้ามาอย่างมาก จนนำไปสู่การปฏิรูปทางสังคมและวัฒนธรรมในเวลาต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริให้สยามเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยอยู่ฝ่ายเดียวกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้ประเทศได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ นำไปสู่การแก้ไขสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมทั้งหลายเพื่อให้ชาติมีอธิปไตยอย่างแท้จริง แต่กว่าจะเสร็จก็ล่วงถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล[43] ปฏิวัติ สงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามเย็น ดูบทความหลักที่: การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 และ สงครามโลกครั้งที่สองในประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของไทย วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทำให้คณะราษฎรเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยได้ลงนามเป็นพันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่น และประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร แต่เนื่องจากประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรให้การยอมรับขบวนการเสรีไทย ประเทศไทยจึงรอดพ้นจากสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม ช่วงสงครามเย็น ประเทศไทยดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา โดยมีนโยบายต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค และส่งทหารไปร่วมรบในสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนาม ต่อมา ประเทศไทยประสบกับปัญหาการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในประเทศ การสู้รบกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ยุติลงอย่างสิ้นเชิงเมื่อปี พ.ศ. 2523[44] ร่วมสมัย ดูบทความหลักที่: เหตุการณ์ 14 ตุลา, เหตุการณ์ 6 ตุลา, พฤษภาทมิฬ, วิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2548–2553 และ วิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2556–2557 ผู้ร่วมชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน ในเหตุการณ์ 14 ตุลา หลังการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 ประเทศไทยยังถือได้ว่าอยู่ในระบอบเผด็จการทหารในทางปฏิบัติอยู่หลายทศวรรษ การเลือกตั้งใน พ.ศ. 2516 หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา ยังให้มีนายกรัฐมนตรีพลเรือนคนแรก[ต้องการอ้างอิง] ในช่วงเวลานั้น ประเทศไทยประสบกับความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และได้มีการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลทหารผ่านรัฐประหารกว่าสิบครั้ง อย่างไรก็ดี มีเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยครั้งสำคัญถึงสองครั้งในเหตุการณ์ 6 ตุลา และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ประชาธิปไตยในประเทศไทยจึงมั่นคงยิ่งขึ้น[ต้องการอ้างอิง] ช่วงพุทธทศวรรรษ 2540 เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 ทำให้ไทยต้องกู้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ต่อมา ทักษิณ ชินวัตรได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสองสมัยติดต่อกัน เขาเป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุด ได้ดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจจนประสบผลหลายอย่าง แต่ก็ตกเป็นที่กล่าวหาอย่างกว้างขวางเช่นกัน ในปี พ.ศ. 2547 เกิดคลื่นสึนามิพัดถล่มภาคใต้และเริ่มต้นความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ ขณะทักษิณดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่สอง เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองขึ้น ใน พ.ศ. 2549 มีรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณ การเลือกตั้งเป็นการทั่วไปใน พ.ศ. 2550 ทำให้ประเทศกลับเข้าสู่บรรยากาศประชาธิปไตยอีกครั้ง วิกฤตการณ์การเมืองนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มมวลชนสองกลุ่ม คือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ กลุ่มแรกชุมนุมประท้วงรัฐบาลทักษิณ เรื่อยมาถึงรัฐบาลสมัครและสมชาย โดยมีการชุมนุมใหญ่ในห้วง พ.ศ. 2551 ส่วนกลุ่มหลังชุมนุมประท้วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ใน พ.ศ. 2552 และ พ.ศ. 2553 ในการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปใน พ.ศ. 2554 ผลปรากฏว่าพรรคเพื่อไทย นำโดยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้ง และเป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาล ในปีเดียวกัน เกิดมหาอุทกภัย มีพื้นที่ประสบภัย 65 จังหวัด ปลาย พ.ศ. 2556 บังเกิดวิกฤตการณ์การเมืองรอบใหม่ มีสาเหตุหลักจากสภาผู้แทนราษฎรผลักดันร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ[45] เกิดการชุมนุมประท้วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไปเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 แต่ศาลรัฐธรรมนูญเพิกถอนการเลือกตั้ง วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 กองทัพบกประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศ และอีกสองวันต่อมาได้ยึดอำนาจการปกครองประเทศ การเมืองการปกครอง ดูเพิ่มเติมที่: การเมืองไทย, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย, กฎหมายไทย, รัฐบาลไทย และ การเลือกตั้งในประเทศไทย ห้องประชุมรัฐสภาไทย ที่ทำการศาลฎีกา เดิมประเทศไทยมีการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยาเป็นต้นมา มีการปกครองแบบรวมศูนย์เด็ดขาดตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[46] ครั้นวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรปฏิวัติในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญแล้ว 19 ฉบับ ซึ่งมากที่สุดในทวีปเอเชีย ประเทศไทยขาดเสถียรภาพทางการเมืองสูงและมีรัฐประหารหลายครั้ง หลังเปลี่ยนรัฐบาลสำเร็จ รัฐบาลทหารมักยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเก่าและร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมีการเปลี่ยนสมดุลอำนาจฝ่ายการปกครองเรื่อยมา นอกจากนี้ พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ยังเปลี่ยนไปตามรัฐธรรมนูญด้วย[47] ประเทศไทยมีรัฐประหารมากเป็นอันดับ 4 ของโลก[48] และมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2558 "คนในเครื่องแบบหรืออดีตทหารนำประเทศไทยเป็นเวลา 55 จาก 83 ปีนับแต่ล้มสมบูรณาญาสิทธิราชในปี 2475"[49] ในทางพฤตินัย ปัจจุบันประเทศไทยปกครองในระบอบเผด็จการทหาร ใน พ.ศ. 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ต่อมา มีประกาศให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดลง และประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แทน ซึ่งในรัฐธรรมนูญดังกล่าว ระบุว่า ประเทศไทยมีรูปแบบรัฐเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา หรือใช้ว่า ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยกำหนดรูปแบบองค์กรบริหารอำนาจทั้งสามส่วนดังนี้ อำนาจนิติบัญญัติ มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประกอบด้วยสมาชิกไม่เกินสองร้อยยี่สิบคน ทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา ไม่มีระบุวาระ อำนาจบริหาร มีนายกรัฐมนตรี ซึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และรัฐมนตรีอื่นไม่เกินสามสิบห้าคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำกราบบังคมทูลของนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีเป็นองค์กรบริหารอำนาจ ไม่มีระบุวาระ นายกรัฐมนตรีเป็นประมุขแห่งอำนาจและเป็นหัวหน้ารัฐบาล อำนาจตุลาการ มีระบบศาล ซึ่งประกอบด้วยศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครอง เป็นองค์กรบริหารอำนาจ มีประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประมุขในส่วนของตน สำหรับราชการส่วนท้องถิ่น มีการแบ่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นและสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งข้าราชการฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนแทบทุกระดับ เดิมประเทศไทยมีรัฐสภา ซึ่งใช้ระบบสภาคู่ ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เป็นสภานิติบัญญัติ สภาผู้แทนราษฎรมีสมาชิก 500 คน มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 375 คน แบบสัดส่วน 125 คน มีวาระ 4 ปี วุฒิสภามีสมาชิก 150 คน มาจากการเลือกตั้ง 77 คน มีวาระ 6 ปี นายกรัฐมนตรีมีวาระ 4 ปี ดำรงตำแหน่งได้ไม่เกินสองวาระติดต่อกัน นายกรัฐมนตรีมิได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง แต่มาจากมติของสภาผู้แทนราษฎร ระบบพรรคการเมืองของไทยเป็นแบบหลายพรรค นายกรัฐมนตรีมาจากพรรคการเมืองต่าง ๆ แต่ก็มีนายกรัฐมนตรีที่มาจากรัฐประหารหลายคน หลัง พ.ศ. 2544 มีพรรคการเมืองครอบงำสองพรรค คือ พรรคเพื่อไทย ซึ่งเปลี่ยนมาจากพรรคพลังประชาชนและพรรคไทยรักไทยตามลำดับ และพรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองซึ่งเป็นพันธมิตรทางการเมืองของทักษิณ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้งทั่วไปทุกครั้งตั้งแต่ปีนั้น พรรคการเมืองอื่น เช่น พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา เป็นต้น การแบ่งเขตการปกครอง ดูบทความหลักที่: การแบ่งเขตการปกครองของประเทศไทย และ จังหวัดในประเทศไทย การแบ่งภูมิภาคของประเทศไทยโดยใช้เกณฑ์อย่างเป็นทางการของราชบัณฑิตยสถาน[50] ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคใต้ ประเทศไทยแบ่งเขตการบริหารออกเป็น (1) ราชการส่วนกลาง ได้แก่ กระทรวง, ทบวง และกรม (2) ราชการส่วนภูมิภาค ประกอบด้วย 76 จังหวัด 878 อำเภอ 7,255 ตำบล[51] และ (3) ราชการส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด, เทศบาล, องค์การบริหารส่วนตำบล, กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ใน พ.ศ. 2458 ประเทศสยามแบ่งการปกครองเป็น 72 จังหวัด หลัง พ.ศ. 2476 จังหวัดกลายเป็นหน่วยการปกครองส่วนภูมิภาคระดับสูงสุด หลังยุบมณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. 2514 มีการรวมจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรีเป็นเขตการปกครองแบบพิเศษชื่อ "นครหลวงกรุงเทพธนบุรี" ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อเป็น "กรุงเทพมหานคร" ใน พ.ศ. 2515 ปีเดียวกัน มีการแยกจังหวัดอุบลราชธานีจัดตั้งเป็นจังหวัดยโสธร พ.ศ. 2520 มีการแบ่งจังหวัดเชียงรายจัดตั้งเป็นจังหวัดพะเยา พ.ศ. 2525 มีการแบ่งจังหวัดนครพนมตั้งเป็นจังหวัดมุกดาหาร พ.ศ. 2536 มีการแยกจังหวัดอุดรธานีจัดตั้งเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู, จังหวัดปราจีนบุรีจัดตั้งเป็นจังหวัดสระแก้ว และจังหวัดอุบลราชธานีจัดตั้งเป็นจังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดล่าสุดของประเทศไทย คือ จังหวัดบึงกาฬซึ่งแยกจากจังหวัดหนองคายใน พ.ศ. 2554 ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการทหาร ดูบทความหลักที่: ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย และ กองทัพไทย ปัจจุบัน ประเทศไทยมีบทบาทมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ โดยเข้าไปมีส่วนร่วมในองค์การระหว่างประเทศและองค์การท้องถิ่น ประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐอเมริกา และยังได้กระชับความสัมพันธ์กับประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า การธนาคาร การเมือง และด้านวัฒนธรรม นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ให้ความร่วมมือกับองค์การท้องถิ่น อาทิ องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป[52] นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเคยส่งทหารเข้าร่วมในกองกำลังนานาชาติในติมอร์ตะวันออก, อัฟกานิสถาน, อิรัก[53], บุรุนดี[54] และปัจจุบัน ในดาร์ฟูร์ ประเทศซูดาน[55] เรือหลวงจักรีนฤเบศร พระมหากษัตริย์ไทยดำรงตำแหน่งจอมทัพไทยโดยนิตินัย ซึ่งปัจจุบันคือพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แต่ในทางปฏิบัติ กองทัพอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของกระทรวงกลาโหม มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้สั่งการ และอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกองบัญชาการกองทัพไทย โดยมีผู้บัญชาการกองทัพไทยเป็นผู้บัญชาการ กองทัพไทยแบ่งออกเป็น 3 เหล่าทัพ ได้แก่ กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ทุกวันนี้กองทัพไทยมีกำลังทหารทั้งสิ้น 1,025,640 นาย และมีกำลังหนุนกว่า 200,000 นาย และมีกำลังกึ่งทหารประจำการกว่า 113,700 นาย[56] เมื่อ พ.ศ. 2553 กระทรวงกลาโหมได้รับจัดสรรงบประมาณทั้งสิ้น 154,032,478,600 บาท[57] ใน พ.ศ. 2554 สถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์มรายงานว่า รายจ่ายทางทหารของไทยคิดเป็น 168,000 ล้านบาท[58] ใน พ.ศ. 2557 เว็บไซต์โกลบอลไฟเออร์พาวเวอร์ (GlobalFirepower) จัดอันดับความแข็งแกร่งของกองทัพไทยอยู่อันดับที่ 24 ของโลก (จาก 106 ประเทศ) [59] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติไว้ว่าการป้องกันประเทศเป็นหน้าที่ของพลเมืองไทยทุกคน[60] ชายไทยทุกคนมีหน้าที่รับราชการทหาร โดยชายสัญชาติไทยต้องไปแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกินในปีที่อายุย่างเข้าสิบแปดปี และจักมีสภาพเป็นทหารกองเกิน[61] กองทัพจะเรียกเกณฑ์ทหารกองเกินชายซึ่งมีอายุย่างเข้า 21 ปี[62] ส่วนทหารกองเกินที่เป็นนักศึกษาวิชาทหารจะได้รับการยกเว้นการเรียกเข้ามาตรวจเลือกเพื่อเข้ารับราชการทหารกองประจำการในยามปกติ[63] เศรษฐกิจ ดูบทความหลักที่: เศรษฐกิจไทย ดูเพิ่มเติมที่: เกษตรกรรมในประเทศไทย และ การท่องเที่ยวในประเทศไทย เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในรูปตัวเงิน 11.375 ล้านล้านบาท (2555) [64] การเติบโตของจีดีพี 2.9% (2556) [65] ดัชนีราคาผู้บริโภค 3.02% (ทั่วไป) 2.09% (พื้นฐาน) (2555) [66] อัตราการว่างงาน 0.7% (2556) [67] หนี้สาธารณะรวม 5.64 ล้านล้านบาท (มิ.ย. 2557) [68] ความยากจน 13.15% (2554) [69] กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงและศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ ประเทศไทยมีเศรษฐกิจแบบผสม โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติจัดให้ประเทศไทยเป็น "ผู้ประสบความสำเร็จสูง" ในเอเชียตะวันออก ซึ่งประชาชนพ้นจากความยากจนและเข้าสู่ชนชั้นกลางที่เติบโตเร็ว เนื่องจากสาธารณสุขและระบบการศึกษาที่ดีขึ้น แต่ประเทศไทยเผชิญกับความท้าทาย เช่น ประชากรสูงอายุ ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม แรงกดดันทางการเมืองและความเหลื่อมล้ำ[5] ใน พ.ศ. 2556 ประเทศไทยมีดัชนีการรับรู้การทุจริตค่อนข้างต่ำ โดยอยู่อันดับที่ 102 จาก 177 ประเทศ[70] เมื่อเดือนกันยายน 2557 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติถูกมองว่าเป็นองค์การต่อต้านทุจริตเป็นองค์การที่ถูกใช้ทางการเมืองมากที่สุดในการสำรวจองค์การต่อต้านทุจริต 12 แห่งในทวีปเอเชีย[71] ประเทศไทยมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากประเทศอินโดนีเซีย ใน พ.ศ. 2556 กองทุนการเงินระหว่างประเทศรายงานว่า ประเทศไทยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในรูปตัวเงินเป็นอันดับที่ 29 ของโลก อยู่ที่ 387,156 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[72] และมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศที่ความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อเป็นอันดับที่ 24 ของโลก อยู่ที่ 673,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[73] ประเทศไทยเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ และเพิ่งเป็นประเทศมีรายได้ปานกลาง-สูงใน พ.ศ. 2554[74] สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์สจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ BBB+ มูดีส์จัดที่ Baa1 และฟิทช์จัดที่ BBB+ ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกเป็นอันดับที่ 24 ของโลก และมีมูลค่าการนำเข้าเป็นอันดับที่ 23 ของโลก ประเทศคู่ค้าหลัก ได้แก่ ประเทศจีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ออสเตรเลีย ฮ่องกงและเกาหลีใต้[75] เครื่องจักรเป็นทั้งสินค้านำเข้าและส่งออกที่สำคัญที่สุดของไทย[76] ใน พ.ศ. 2556 ประเทศไทยมีการส่งออกสุทธิ 390,957 ล้านบาท[65] ธนาคารโลกเป็นเจ้าหนี้ต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดของไทย[77] ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก ในปี 2556 จีดีพีมาจากการใช้จ่ายของครัวเรือน 54.4% การใช้จ่ายของรัฐบาล 13.8% การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร 26.7%[65] การส่งออกเป็นสัดส่วน 74% ของจีดีพี[78] ภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนต่อจีดีพีมากที่สุดคือ 38.1% ภาคการค้าส่ง ค้าปลีกมีสัดส่วนต่อจีดีพี 13.4% ภาคการขนส่งและการสื่อสารมีสัดส่วนต่อจีดีพี 10.2% ภาคเกษตรกรรมมีสัดส่วนต่อจีดีพี 8.3%[79] ในปี 2552–2553 ประเทศไทยส่งชิ้นส่วนและส่วนประกอบออก ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์เป็นสำคัญ มูลค่า 48,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 25% ของมูลค่าการส่งสินค้าออก[5] ในปี 2555 ประเทศไทยมีที่ดินเพาะปลูกได้ 165,600 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น 32.3% ของพื้นที่ประเทศ[80] ซึ่งในจำนวนนี้กว่า 55% ใช้ปลูกข้าว ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 5 ของโลก ในปี 2551 ประเทศไทยส่งข้าวออกราว 10 ล้านตัน คิดเป็นประมาณ 33% ของการค้าข้าวทั่วโลก[81] ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางรายใหญ่ที่สุดของโลก[82] พืชที่มีมูลค่าการผลิตสูงสุดอื่น ได้แก่ อ้อย มันสำปะหลัง เนื้อไก่ เนื้อหมู มะม่วง มังคุด ฝรั่ง สัปปะรด รวมทั้งพวกผลไม้เขตร้อน[80] ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของโลก และเป็นผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่อันดับ 5 ของโลก[83] ประเทศไทยมีกำลังแรงงาน 39.38 ล้านคน อยู่ในภาคเกษตรกรรมมากที่สุด 15.41 ล้านคน หรือ 39.1% ของกำลังแรงงาน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556 ค่าแรงขั้นต่ำทางการทุกจังหวัดเป็น 300 บาท[67] อัตราการว่างงานของประเทศอยู่ที่ 0.7% ซึ่งน้อยเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากประเทศกัมพูชา โมนาโกและกาตาร์[84] ความเหลื่อมล้ำของรายได้ในประเทศไทยถือว่าสูงสุดประเทศหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครัวเรือนที่รวยที่สุด 20% มีรายได้ครัวเรือนเกินครึ่ง ดัชนีจีนีของรายได้ครัวเรือนอยู่ที่ 0.51 ความแตกต่างของระดับการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาคเป็นปัจจัยกำหนดความยากจนและความเหลื่อมล้ำของภูมิภาคในประเทศไทย ครอบครัวรายได้น้อยและยากจนกระจุกอยู่ในภาคเกษตรกรรมอย่างมาก และ 90% ของผู้ยากจนอาศัยอยู่ในชนบท[85] กรุงเทพมหานครซึ่งมีผลิตภัณฑ์จังหวัดสูงสุดมีมูลค่าผลิตภัณฑ์จังหวัดเป็น 406.9 เท่าของจังหวัดแม่ฮ่องสอนซึ่งมีน้อยที่สุด ด้วยการขาดเสถียรภาพจากการประท้วงใหญ่ในปี 2553 การเติบโตของจีดีพีของประเทศไทยอยู่ที่ราว 4–5% ลดลงจาก 5–7% ในรัฐบาลพลเรือนก่อน ความไม่แน่นอนทางการเมืองถูกระบุเป็นสาเหตุหลักของการเสื่อมของความเชื่อมั่นนักลงทุนและผู้บริโภค กองทุนการเงินระหว่างประเทศทำนายว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอย่างแข็งแรงจากจีดีพีเพิ่มขึ้น 0.1% ในปี 2554 เป็น 5.5% ในปี 2555 และ 7.5% ในปี 2556 เนื่องจากนโยบายการเงินที่อำนวยความสะดวกของธนาคารแห่งประเทศไทย ตลอดจนมาตรการกระตุ้นการคลังรวมที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เสนอ[86] หลังรัฐประหารในประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 สำนักข่าวทั่วโลกเอเอฟพีจัดพิมพ์บทความซึ่งอ้างว่า ประเทศไทยอยู่ ณ "ขอบภาวะเศรษฐกิจถดถอย" บทความดังกล่าวมุ่งสนใจชาวกัมพูชาเกือบ 180,000 คนที่ออกนอกประเทศเนื่องจากเกรงการจำกัดการเข้าเมือง ก่อนสรุปด้วยสารสนเทศว่าเศรษฐกิจไทยหดตัว 2.1% ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงปลายเดือนมีนาคม 2557[87] พลังงาน ประเทศไทยเป็นผู้นำน้ำมันและแก๊สธรรมชาติเข้าสุทธิ มีการผลิตและปริมาณสำรองน้ำมันน้อยและต้องนำเข้าเป็นส่วนใหญ่เพื่อการบริโภค แม้ว่ามีปริมาณสำรองแก๊สธรรมชาติที่พิสูจน์แล้วขนาดใหญ่ แต่ยังต้องนำเข้าเพื่อให้ทันอุปทานในประเทศ การบริโภคพลังงานหลักของประเทศไทยมาจากเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ คิดเป็นกว่า 80% ของทั้งหมด ในปี 2553 ประเทศไทยบริโภคพลังงานจากน้ำมันมากที่สุด (39%) รองลงมาคือ แก๊สธรรมชาติ (31%) ชีวมวลและของเสีย (16%) และถ่านหิน (13%) ในเดือนมกราคม 2556 ออยล์แอนด์แก๊สเจอร์นัล ว่า ประเทศไทยมีน้ำมันสำรอง 453 ล้านบาร์เรลและมีแก๊สธรรมชาติสำรองที่พิสูจน์แล้ว 10.1 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่อันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากประเทศสิงคโปร์ เชื้อเพลิงดีเซลเป็นสัดส่วนหนึ่งในสามของผลิตภัณฑ์น้ำมัน และเป็นเชื้อเพลิงหลักสำหรับการขนส่ง[88] ในปี 2554 ประเทศไทยมีสมรรถภาพติดตั้งผลิตไฟฟ้าประมาณ 32.4 กิกะวัตต์ โดยผลิตจากแก๊สธรรมชาติมากที่สุด (71%) ประเทศไทยคิดสนับสนุนพลังงานนิวเคลียร์เพื่อลดการพึ่งพาแก๊สธรรมชาติ แต่หลังภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิในปีนั้น ทำให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งแรกที่เสนอถูกเลื่อนไปหลังปี 2569[88] วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉายภาพแขกต่างประเทศ ณ ค่ายหลวงหว้ากอ ได้มีการบรรจุแผนการใช้และพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนับตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระยะที่ 5 (พ.ศ. 2525-2529) เป็นต้นมา แต่ในขณะนั้นยังพบว่ามีอุปสรรคด้านสมรรถภาพของประเทศในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศยังไม่เข้มแข็ง จนถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระยะที่ 6 (พ.ศ. 2530-2534) จึงได้จัดแผนพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เป็น 1 ใน 10 ของแผน เพื่อพัฒนาขีดความสามารถด้านการผลิตและการแปรรูปสินค้า[89] พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับพระสมัญญานามว่า "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" จากการที่ได้ทรงคำนวณสุริยุปราคาเต็มดวง 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 อย่างแม่นยำ เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2525 รัฐบาลกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคมของทุกปีเป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ[90] ในปัจจุบันวิทยาศาสตร์ได้เข้ามามีส่วนร่วมในประเทศไทยมากขึ้นในเรื่องการแพทย์ การคมนาคม การศึกษา การสื่อสารทำให้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทยก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว[91] การขนส่ง ดูบทความหลักที่: การขนส่งในประเทศไทย รถสามล้อหรือตุ๊กตุ๊ก รูปแบบการขนส่งอย่างหนึ่ง การขนส่งส่วนใหญ่ในประเทศไทยจะใช้การขนส่งทางบกเป็นหลัก เมื่อวันที 31 ธันวาคม 2556 ประเทศไทยมีรถจดทะเบียนสะสม 34,624,406 คัน เป็นรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลมากที่สุด คือ 19,853,157 คัน รองลงมาเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน 6,736,602 คัน และรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล 5,734,302 คัน มีใบอนุญาตประกอบการขนส่ง 405,378 ฉบับ ในปี 2556 มีผู้โดยสารใช้สถานีขนส่งผู้โดยสารที่กรมการขนส่งทางบกกำกับดูแล 395,509,573 คน[92] รางรถไฟใช้ประโยชน์ในประเทศไทยมี 4,044 กิโลเมตร[93] ในปี 2555 มีผู้โดยสารทางราง 40.8 ล้านคน[94] ประเทศไทยมีทางน้ำในประเทศที่ใช้เดินเรือได้ 3,700 กิโลเมตร แม่น้ำเจ้าพระยาและคลองแสนแสบเป็นวิธีการขนส่งทางน้ำหลัก มีผู้โดยสารกว่า 360,000 คนต่อวัน ท่าเรือหลักของไทย คือ ท่าเรือคลองเตยและแหลมฉบัง ในปี 2547 มีสินค้านำเข้าและส่งออกราว 47.7 ล้านตัน[93] ในปี 2556 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นท่าอากาศยานที่มีผู้โดยสารมากเป็นอันดับที่ 17 ของโลก[95] การสื่อสาร การสื่อสารในประเทศไทยเดิมใช้จดหมาย โดยไปรษณีย์ไทยเป็นผู้รับส่งจดหมาย แต่การเขียนจดหมายที่ล่าช้าจึงได้มีการนำโทรเลขมาใช้ในประเทศไทย โดยกรมไปรษณีย์โทรเลขและเลิกใช้ไปแล้วในปัจจุบัน โดยมีโทรศัพท์และโทรสารเป็นเครื่องสื่อสารที่สะดวกรวดเร็วที่สุดและราคาประหยัด อย่างไรก็ตามยังมีอินเทอร์เน็ตใช้เป็นเครื่องสื่อสารอยู่กันไม่น้อย Wiki letter w.svg ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมข้อมูลในส่วนนี้ได้ การท่องเที่ยว ดูบทความหลักที่: การท่องเที่ยวในประเทศไทย การท่องเที่ยวทำรายได้ให้กับประเทศเป็นสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับสัดส่วนของหลาย ๆ ประเทศในทวีปเอเชีย (ราว 6% ของจีดีพี) นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางมายังประเทศไทยด้วยเหตุผลหลายประการ ส่วนใหญ่มาท่องเที่ยวตามชายหาดและพักผ่อน ถึงแม้ว่าจะมีความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ตาม [96] โดยแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่ กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา ภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน และจังหวัดเชียงใหม่[13][97] ประชากรศาสตร์ ดูเพิ่มเติมที่: ประชากรศาสตร์ไทย ประชากร ประชากรไทย ปี ประชากร ±% 2453 8,131,247 — 2462 9,207,355 +13.2% 2472 11,506,207 +25.0% 2480 14,464,105 +25.7% 2490 17,442,689 +20.6% 2503 26,257,916 +50.5% 2513 34,397,371 +31.0% 2523 44,824,540 +30.3% 2533 54,548,530 +21.7% 2543 60,916,441 +11.7% 2553 65,926,261 +8.2% แหล่งที่มา: [2] สำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทยประมาณว่า ประเทศไทยมีประชากร 64,785,909 คน[1] ซึ่งมากเป็นอันดับที่ 20 ของโลก ประเทศไทยถือว่ามีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ราว 75–95% ของประชากรเป็นชาติพันธุ์ไท ซึ่งรวมสี่ภูมิภาคหลัก คือ ไทยกลาง 30% อีสานหรือลาว 22% ล้านนา 9% และใต้ 7% และมีไทยเชื้อสายจีน 14% ของประชากร ที่เหลือเป็นไทยเชื้อสายมลายู ชาวมอญ ชาวเขมร และชาวเขาหลายเผ่า[98] ขณะที่ไทยที่มีบรรพบุรุษจีนบางส่วนมีถึง 40% ของประชากร[99] ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่อัตราเจริญพันธุ์ลดลงเร็วที่สุดในโลก ระหว่างปี 2513 ถึง 2533 อัตราเจริญพันธุ์ระหว่างประเทศลดลงจาก 5.5 เหลือ 2.2 สาเหตุจากการคุมกำเนิด ขนาดครอบครัวที่ปรารถนาลดลง สัดส่วนผู้สมรสลดลง และการสมรสช้า ในปี 2552 อัตราเจริญพันธุ์รวมของไทยอยู่ที่ 1.5 ในปี 2553 อัตราการเกิดอย่างหยาบอยู่ที่ 13 ต่อ 1,000 ประชากรมากกว่า 65 ปีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าจำนวนผู้สูงอายุในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงปี 2553–2573 จำนวนประชากรในวัยทำงานทั้งหมดจะเริ่มลดลงหลังปี 2563[100] จำนวนการเกิดของวัยรุ่นสูงขึ้น โดยสถิติหญิงอายุ 15–19 ปีที่เคยสมรสในปี 2553 มีประมาณ 330,000 คน และในปี 2552 มีจำนวนการเกิดจากแม่อายุไม่เกิน 19 ปีจำนวน 765,000 คน การทำแท้งไม่ชอบด้วยกฎหมายในประเทศไทย ยกเว้นผู้ประกอบกิจแพทย์ภายใต้บางเงื่อนไขเท่านั้น ในปี 2549–2552 มีการทำแท้งชักนำเกิน 60,000 คนต่อปี[100] ประเทศไทยมีการย้ายถิ่นเข้ามากกว่าย้ายถิ่นออกมาก เนื่องจากระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยเป็นแรงจูงใจให้แรงงานไร้ฝีมือจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาหางานในประเทศไทย ประเทศไทยมีการเคลื่อนสู่พื้นที่เมืองถาวรพอสมควร การย้ายถิ่นเข้าประเทศช่วยเร่งการทำให้เป็นเมือง ในปี 2553 ประเทศไทยมีการมีลักษณะแบบเมือง 34% ซึ่งต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประเทศที่มีเครื่องชี้ภาวะการพัฒนาพอ ๆ กัน (เช่น ประเทศโคลัมเบียและเปรู กว่า 75%) กรุงเทพมหานครเป็นตัวอย่างสุดโต่งของความเป็นเอกนคร (urban primacy) โดยในปี 2536 กรุงเทพมหานครมีประชากรมากกว่านครใหญ่ที่สุดสามอันดับถัดมารวมกันระหว่าง 7.5 ถึง 11 เท่า ผู้อพยพออกชาวไทยส่วนมากเป็นชายและส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างสัญญาในอาชีพทักษะต่ำ คาดว่าจำนวนผู้ย้ายถิ่นออกระยะสั้นไปประเทศมาเลเซียมีสูง เมื่อปลายปี 2550 ประเมินว่าชาวต่างชาติที่อาศัยและทำงานอยู่ในประเทศไทยมี 2.8 ล้านคน เป็นผู้ใช้แรงงานจากประเทศพม่า กัมพูชาและลาว 70,000 คน เมื่อปลายปี 2552 มีผู้ย้ายถิ่นไม่มีบันทึกประมาณ 1,314,382 คน มาจากพม่ามากที่สุด (82%) มีผู้เชี่ยวชาญซึ่งมีทักษะการจัดการ เทคโนโลยี วิศวกรรมหรืออุตสาหกรรมจากประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น เมื่อปลายปี 2552 ชาวต่างชาติ 210,745 คนมีใบอนุญาตทำงานไทย นอกจากนี้ยังมีนักศึกษาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยเพราะการสมรสและผู้ที่ตั้งถิ่นฐานหลังการเกษียณอายุ นักท่องเที่ยวบางส่วนยังอยู่เกินวีซาและกลายเป็นผู้อยู่อาศัยถาวร[100]